หนึ่งในล้านล้าน
เพิ่งได้รู้เมื่อตะกี้ว่าวันนี้พี่ B ไม่ได้มาทำงานแล้ว นับเป็นการทำลายสถิติที่ตัวเองเคยทำไว้อย่างขาดลอย จากเดิมที่มาทำงานได้ ๔ วัน (คราวก่อนที่เขียนไปเราจำจำนวนวันไม่ได้ ตอนหลังมาคุยกับพี่ๆ คนอื่นๆ เขาบอกว่า พี่ B มาเริ่มงานวันจันทร์ แล้วมาพิมพ์ใบลาออกเช้าตรู่วันศุกร์) เมื่อวานเป็นวันแรกที่พี่ B มาทำงานและกลับบ้านไปตอนสี่โมงเย็น ทำให้ตอนนี้สถิติการทำงานที่บริษัทเราที่สั้นที่สุดคือ ๗ ชั่วโมง (ต้องว่ากันเป็นหลักชั่วโมงแล้วอ่ะ)

เมื่อวานตอนเช้าเรายังแอบมาเมาท์พี่ Bให้พี่ในแผนกฟังอยู่เลยว่าเราได้เจอพี่ B แล้วนะ คือเราสวนกับเขาตอนจะเดินเข้าออฟฟิศ ความที่ออฟฟิศตอนนี้เปลี่ยนไปจากตอนที่พี่ B เคยอยู่ คือตอนนี้ประตูจะล็อคตลอดเวลา คนข้างนอกต้องให้รีเซพชั่นกดเปิดล็อคให้ แต่คนที่อยู่ข้างในเปิดล็อคเองได้ มีปุ่มปลดล็อคอยู่ข้างประตู เราเห็นพี่ B จะออกก็เลยรอให้เขาเปิดประตูให้

พี่รีเซพชั่นก็อุตส่าห์อำนวยความสะดวกกดปลดล็อคให้ แต่พี่ B ก็ไม่ดูตาม้าตาเรือ ดึงประตูเป็นพัลวันประตูก็ไม่เปิด เขาหันกลับไปมองหน้าพี่รีเซพชั่นเป็นทำนองว่า กดเปิดล็อคยังไง ทำไมฉันเปิดประตูไม่ออก จนเราต้องทำปากพะงาบๆ บอกว่า “ต้องผลักค่ะ” เขาถึงได้เหลือบตาไปอ่านป้าย “ผลัก” ที่ติดไว้ตรงมือจับ แล้วก็ผลักประตูเปิดอย่างง่ายดาย เรายิ้มให้เขา เขาก็พึมพำออกมาแบบไม่สบตาเราว่า “พอดีไม่ทันได้อ่านอ่ะ”

ตอนที่มีแหล่งข่าวมากระซิบดังๆ ว่า “พี่ B ไปแล้วนะ” เรายังนึกว่า ล่นมุขแหงๆ แต่มีคนยืนยันหลายคน น้องที่เป็นเลขาแผนกเราเห็นว่าพี่ B ปิดประตูห้องคุยกับพี่ C ตอนบ่ายเมื่อวาน แล้วก็กลับไปตอนสี่โมงเย็น แล้วยังบอกด้วยว่า ตอนแรกน้องที่เป็นเลขาของไฟฟ้าจะต้องโทรจองร้านอาหาร เพื่อเลี้ยงต้อนรับพี่ B แต่ก็มีคำสั่งยกเลิกไม่ต้องจองแล้ว ก็เป็นอันว่าข่าวนี้น่าจะมีมูลความจริง

เราพยายามจะเค้นคอให้แหล่งข่าวบอกว่า ตกลงพี่ B เขาเปลี่ยนใจเป็นรอบที่สองเพราะอะไร แหล่งข่าวบอกสั้นๆ (แบบไม่เข้าใจหัวอกแมงเมาท์) ว่า พี่ B บอกว่า “ไม่อยากที่จะต้องตื่นแต่เช้ามาทำงาน ไม่อยากเป็นทำงานแปดโมงเช้า เลิกห้าโมงเย็น” ทุกคนที่ได้ฟังคำตอบต่างส่ายหัวไปตามๆ กัน ประมาณว่าไม่เคยได้ยินคำตอบอะไรที่ฟังไม่ขึ้นเท่านี้มาก่อน

มีคนบอกว่า ให้เดินไปที่ห้องทำงานพี่ C แล้วลองมองดูซิว่า หัวพี่ C ยังอยู่ดีหรือว่าหายไปแล้ว แต่แหล่งข่าวบอกว่า เขาเอากาวซุปเปอร์กลูต่อกลับเข้าไปแล้ว (โทรคุยกับหัวหน้าใหญ่ฝรั่งที่อเมริกาแล้ว) เราคิดว่านอกจากกาวซุปเปอร์กลูแล้วคงต้องเอาด้ายเย็บด้วย แถมต้องเย็บเองอีกตะหากเพราะคอขาดกระจุยแผลเหวอหวะแบบหมอไม่อยากรับเย็บอ่ะ

พวกเรามาทบทวนเหตุการณ์ดูแล้ว ก็สรุปว่าบางทีอาจจะเป็นเพราะ พี่ B ไม่อยากทำ Timesheet คือทุกวันศุกร์ตอนเช้าบริษัทเเราจะทำ Timesheet ที่ลงเวลาว่า ๔๐ ชั่วโมงทำงานในสัปดาห์ที่ผ่านมา เราทำโปรเจ็คต์อะไรไปมั่ง พี่ B กลับมาเป็นพนักงานใหม่สองรอบ อยู่ทำงานได้ไม่ถึงทำ Timesheet ทั้งสองครั้ง ถ้าจะทดสอบทฤษฎีนี้ ต้องทดลองรับพี่ B กลับมาทำงานใหม่แล้วให้เริ่มงานเช้าวันศุกร์ ดูซิว่า เขาจะกลับไปก่อนเที่ยงหรือเปล่า (ไม่ฮา)

พี่ที่เป็นหัวหน้าแผนกเราบ่นว่า พี่ B อุตส่าห์ไปเรียนจนจบปริญญาโทจากเมืองนอกเมืองนา อายุก็ตั้งสามสิบห้าสามสิบหกเข้าไปแล้ว ไม่น่าจะทำตัวโลเลแบบนี้ ไม่มีความเป็นผู้ใหญ่เอาซะเลย แต่เราก็เถียงคอเป็นเอ็นว่า การศึกษา อายุ ความรู้ ไม่ได้สัมพันธ์กับระดับอีคิว มีคนมายืนข้างเราหลายคน

พี่ที่เป็นหัวหน้าบอกว่า น่าจะส่งเรื่องนี้ไปลงกินเนสส์บุ๊กออฟเร็คคอร์ด ประมาณว่าน่าจะสามารถเซ็ตเป็นสถิติโลกได้ เราว่าอาจจะไม่ถึงกับเป็นสถิติโลก แต่ต้องยกให้เป็นสุดยอดเหตุการณ์แห่งปี ดูจากองค์ประกอบต่างๆ ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้แล้ว ต้องนับว่างานนี้เป็นเหตุการณ์ประเภทหนึ่งในล้านล้าน (One in a Billion)