ล้างแผล
เมื่อวานไปล้างแผลที่โรงพยาบาลมา หลังจากที่ล้างเองไปสองครั้ง ครั้งแรกคืนวันอาทิตย์ พอดีอาบน้ำแล้วผ้าก๊อซมันเปียก ก็เลยเปลี่ยนผ้าก๊อซเอง อีกครั้งคืนวันจันทร์ เพราะต้องไปเอาโทรศัพท์ที่บ้านก๊อใหญ่ เลยไม่ได้ไปโรงพยาบาล

เห็นบุรุษพยาบาลล้างแผลให้เราแล้ว สมเป็นโรงพยาบาลจริงๆ ที่เราทำเองก็เอาเบตาดีนเทใส่ผ้าก๊อซแล้วก็ทาเบาๆ (กลัวเจ็บ) ตรงรอยเย็บ แต่ตอนพี่บุรุษพยาบาลล้างแผล เขาเอาน้ำยา (คาดว่าเป็นแอลกอฮอล์) ทาถู ทาถู ทาถู ที่แผลเราหลายรอบมาก ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเห็นว่าสองวันที่เราล้างแผลเองไม่ค่อยสะอาด (แต่เราไม่ได้บอกเขาหรอกนะว่าเราล้างแผลเอง เขาคงนึกว่าหมอที่เรือทำไมทำแผลห่วยจัง อิอิ)

พอล้างแผลสะอาดแล้วเขาถึงได้มีเวลาพิจารณารอยเย็บ เขาก็ชมว่าเย็บแผลสวยนะ เราบอกว่า ก็หมอที่เย็บเขาเป็นหมอศัลยฯอ่ะ เขาบอกว่า เสียดายที่ไหมที่เย็บไม่ค่อยดี เห็นว่าเป็น Silk ถ้าเป็น Nylon จะดีมาก เป็น Silk เวลาตัดไหม จะเจ็บ เพราะมันจะติดเนื้อ (จ๊ากกก) ที่จริงหมอบนเรือเขาก็บอกเราเหมือนกันว่า ปกติเขาไม่ได้เย็บไหมแบบนี้ แต่อุปกรณ์ในเรือมันมีเท่าที่มี ก็ต้องใช้ไป ไหมมันจะเส้นใหญ่ เราก็กลัวว่าตอนตัดไหมจะเจ็บ แต่หมอบอกว่าไม่เจ็บหรอก... โกหกกันนี่หว่า

หลังจากที่ได้รับคำแนะนำเรื่องพลาสเตอร์กันน้ำจากคนแถวๆ นี้ เราเลยขอให้บุรุษพยาบาลติดให้ด้วย ก็ปรากฎว่าใช้การได้ดี เป็นฟิล์มบางๆ ที่ค่อนข้างยืดหยุ่น ติดแล้วแนบไปกับผิวหนังเลย เมื่อวานเราฉีดยากันบาดทะยักไปด้วยเลย คอร์สหนึ่งมี ๓ เข็ม ฉีดเข็มแรกแล้วเว้นไปอีก ๑ เดือนก็ฉีดเข็มที่สอง แล้วก็เว้นไปอีก ๖ เดือนไปฉีดเข็มที่ ๓ ฉีดครบแล้วกันบาดทะยักได้ ๑๐ ปี

โทรศัพท์ใหม่

วันจันทร์ตอนบ่ายๆ ยังเขียนเล่าเรื่องเที่ยวไม่จบ แม่ไอโกะโทรมาบอกว่าให้เราไปเอาโทรศัพท์ที่บ้านก๊อใหญ่ ฟังแล้วก็อึ่งทึ่ง (แต่ไม่เสียว) เพราะเราเพิ่งฝากโทรศัพท์แม่กลับไปแม่กลองไปเมื่อเย็นวันอาทิตย์ กว่าก๊อใหญ่จะได้โทรศัพท์เราก็ต้องเช้าวันจันทร์ ทำไมมันเสร็จเร็วจังวะ แล้วแถมเดินทางกลับมากรุงเทพฯได้อีกตะหาก

แม่ไอโกะบอกว่า คงไม่ได้ซ่อมหรอก น่าจะเป็นเครื่องใหม่มากกว่าและน่าจะมีกล้องด้วย ทีแรก เราคิดว่าอาจจะเป็นเครื่องสำรอง เครื่อง “อะไหล่” ที่ก๊อมีอยู่ ก็เลยชักไม่แน่ใจว่าจะเป็นเครื่องสำรอง ทั้งเครื่องทั้งเบอร์หรือเปล่า (เช่นโทรศัพท์แบบเติมเงินที่เอาไว้ให้คนงานที่ไปส่งของใช้) เพราะซิมการ์ดไม่น่าจะเดินทางจากแม่กลองมากรุงเทพฯได้ ก็เลยให้แม่ไอโกะโทรไปถามก๊อใหญ่อีกที ได้ความว่าพอดีก๊อใหญ่จะเข้ามาทำธุระก็เลยเอาโทรศัพท์มาให้เราด้วยเลย

สรุปว่าได้โทรศัพท์เครื่องใหม่ เพราะก๊อใหญ่บอกว่าเครื่องเก่าซ่อมแล้วก็คงใช้ได้ไม่ค่อยดี (แต่เราคิดว่า ก๊ออยากซื้อของใหม่มากกว่า อิอิ) แล้วก็มีกล้องด้วย เราเห็นแล้วก็อึ้งๆ ซาบซึ้งใจ แต่ก็เสียดายของไปในตัว เพราะคนโง่ๆ อย่างเรา กระโดดขึ้นยอดคลื่นทางเทคโนโลยีไม่ทัน มีของดีก็ใช้ได้ไม่คุ้มค่า เราบอกก๊อว่าเนี่ย ถ้าให้เราไปซื้อโทรศัพท์ใหม่เอง ยังได้ไม่เร็วเท่านี้เลย เพราะอาจจะต้องรอวันสองวัน ไหนจะต้องเลือกรุ่นเปรียบเที่ยบคุณสมบัติอีก ก๊อก็ยิ้มๆ เรื่องบริการแบบนี้ ก๊อชอบอยู่แล้ว (ส่วนน้องอย่างเราก็สบายแฮ)

เท็คคี่

เราไม่ได้ใช้โทรศัพท์โนเกียมาพักใหญ่ ชักลืมๆ คำสั่งไปแล้ว พยายามจะหาว่าต้องกดปุ่มไหน ที่จะเปลี่ยนให้เป็น Silent Mode ได้อย่างรวดเร็ว (ถ้ากดตามเมนูปกติ ต้องกดประมาณสี่ห้าทีอย่างน้อย ถ้าโง่ๆ กดผิดกดถูกอย่างเรายิ่งเสียเวลาใหญ่) เราพลิกคู่มือการใช้มือแทบพลิกก็หาไม่เจอ

พอดีคนที่ทำงานใช้โทรศัพท์รุ่นเดียวกับเราและเป็นเท็คคี่ (Techie) พอเราบ่นให้เขาฟัง เขาบอกว่า นี่ไง ถ้ากดสวิตช์ปิด/เปิด ๑ ครั้ง มันจะมีให้เลือก Profile ก็เลือก Silent ได้เลย (กด ๒ ที) โห... มันเก่งเว้ย รู้ได้ไงเนี่ย แถม “เท็คคี่” ยังโชว์การส่ง Contact (ชื่อ เบอร์โทร และรายละเอียดอื่นๆ ที่เราเก็บไว้ในเม็มโมรี่) ไปโทรศัพท์เครื่องอื่นโดยใช้ Infrared ด้วย เท่โคตรๆ คนโลว์เทคอย่างเราเห็นแล้วอึ้งทึ่ง (แต่ไม่เสียว) อีกตามเคย...