ตัดไหม
เมื่อวานไปตัดไหมมาแล้ว ตอนแรกคิดว่าแค่จะไปล้างแผลเฉยๆ แต่พยาบาลเห็นว่าเย็บมาได้ ๙ วันแล้ว และแผลก็แห้งดี (ตอนที่ไปล้างแผลครั้งล่าสุดวันศุกร์ แผลยังไม่ค่อยแห้งเท่าไหร่ เขาเลยใส่ยาแก้อักเสบให้ด้วย) เขาลองบีบใกล้ๆ รอยแผลดูก็ไม่เจ็บ ก็บอกว่าน่าจะตัดไหมได้แล้ว

พอเรียกหมอมาดูเพื่อเป็นการยืนยัน หมอก็บอกว่าตัดไหมได้เลย เราถามว่าตัดไหมเสร็จต้องมาล้างแผลอีกหรือเปล่า เขาบอกว่าต้องดูก่อนว่าต้องดูก่อน ว่าดึงไหมออกแล้วจะมีเลือดไหลหรือเปล่า (จ๊ากกก) ที่ผ่านๆ มาตอนล้างแผล เราจะนั่งบนเตียง ก็จะเห็นว่าเขาทำอะไรกับแผลของเรา แต่พอตอนจะตัดไหม เราตัดสินใจนอนเพราะไม่กล้าดู ปล่อยให้พยาบาลทำอะไรกุ๊กกิ๊กๆ จนเสร็จ

ระหว่างที่เขาตัดไหม เราก็พยายามเอาใจไปที่อื่น เช่น แอบฟังว่าเตียงข้างๆ เขาคุยอะไรกัน มีคุณลุงคนหนึ่งมาล้างแผลที่เกิดจากแกเดินตกไปในร่องระบายน้ำ แกไปทำแผลที่อีกโรงพยาบาลหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้ไปให้เขาล้างแผลอีก แกล้างแผลของแกเอง ปรากฏว่าแผลอักเสบ แกบอกว่าไม่มีคนพามาล้างแผล กว่าจะลูกๆ จะเลิกงาน กลับบ้านก็ดึกแล้ว พยาบาลบอกว่า ดึกยังไงก็มาได้ค่ะคุณลุง โรงพยาบาลเปิด ๒๔ ชั่วโมง

ฟังเรื่องคุณลุงจบพยาบาลก็ตัดไหมเสร็จ (ไม่เจ็บอย่างที่คิดแฮะ สรุปว่าคุณหมอศัลย์ไม่ได้โกหกเรา และคุณบุรุษพยาบาลคนแรกขู่เรามากไปหน่อย) พยาบาลบอกว่าตัดไหมง่ายกว่าที่คิดและแผลติดดีมาก แกถามเราว่า “จะดูแผลหน่อยไหม แทบไม่มีรอยเลยเลยนะ เป็นแค่เส้นบางๆ กับรอยถลอก” เราก็ “ค่ะๆ เหรอคะ ไม่ดูค่ะ” (ตอนที่ยังมีไหมเย็บอยู่ เรากล้าดู แต่ก็ดูไปเสียวไป พอตัดไหมแล้วไม่กล้าดูเพราะกลัวเห็นรูๆ ที่เป็นรอยเย็บ ๑๖ รูแล้วเป็นลม) เขาปิดพลาสเตอร์แบบกันน้ำให้เหมือนเดิม บอกว่าปิดไว้ไม่ให้โดนน้ำอีก ๒ วันแล้วแกะออกเองได้เลย

ไร้ประสิทธิภาพ

ช่วงที่ผ่านมา งานของโปรเจ็คต์เราไม่ค่อยกระหน่ำซ้ำเติมอย่างเคย แต่แทนที่เราจะสามารถทำงานได้เสร็จรวดเร็ว เราก็ดันโอ้เอ้ เช็คเว็บบอร์ดมั่ง ตอบอีเมลเพื่อนมั่ง เขียนไดอารี่มั่ง ทำให้งานเสร็จช้า ต้องอยู่เย็นๆ ค่ำๆ เคลียร์งาน

ถ้าเราสามารถมีสมาธิในการทำงานได้มากเท่าๆ กับตอนที่งานเยอะๆ เราคงได้กลับบ้าน ๕ โมงเย็นอย่างพนักงานทั่วๆ ไป แต่จะว่าไปเราก็ชินกับการกลับบ้านค่ำๆ ไปซะแล้ว บางวันงานเสร็จไวก็ยังไม่วายนั่งทำโน่นทำนี่ (ที่ไม่ใช่เรื่องงาน) อยู่จนหกโมง ถึงจะคิดได้ว่าได้เวลายุรยาตรออกจากที่ทำงาน

ตอนนี้โปรเจ็คต์เราทำงาน engineering เสร็จไปค่อนข้างเยอะ งานไปตกหนักอยู่ที่พวก designer ที่จะต้องเดินท่อให้เสร็จ ซึ่งดูท่าทางจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ เพราะงาน engineering มันช้าไปเยอะ (ฝีมือเราเอง) พี่มา (หัวหน้า designer ของออฟฟิศกรุงเทพฯ) บอกว่า ตอนนี้ทาง KC เริ่มพยายามจะก่อหวอดหาเหตุว่า ความล่าช้าต่างๆ นานา ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะ Communication ระหว่างกรุงเทพกับ KC ไม่ดี (อีฉันมีส่วนรับผิดชอบเต็มๆ)

พี่มาบอกว่า ที่จริงโปรเจ็คต์นี้มีปัญหา เพราะ PME (Lead ใหญ่สุดของ Mechanical - ชื่อไบรอัน) ไม่เก่ง ไม่รู้ทำไมถึงเลือกคนนี้มาทำ เราบอกว่าพี่มาว่าถึงไบรอันไม่เก่ง แต่ก็ยังดีกว่าจอนซึ่งเป็น PME คนก่อนหน้านี้ที่โดนปลดไป พี่มาได้ยินชื่อจอนแล้วก็บอกว่า อ๋อ... รู้จักๆ

พี่มาบ่นต่ออีกว่านอกจาก PME ไม่เก่งแล้ว ยังได้ Lead Designer ที่ไม่มีประสบการณ์อีก (แซม) เพราะแซมโดน assign ไปทำงานให้แผนก proposal ซะหลายปี เราก็เลยถึงบางอ้อว่าทำไมถึงได้แซมมาทำโปรเจ็คต์นี้ เพราะจอนก็มาจากแผนก proposal เหมือนกัน ประมาณว่ายกกันมาทั้งทีม

เราเห็นลางหายนะของโปรเจ็คต์อยู่รำไร แค่ทำให้โปรเจ็คต์เสร็จทันตามกำหนดก็ยากมากๆ แล้ว ยังต้องคุม budget อีกไม่ให้บานปลายอีก (งานที่ล่าช้า มักจะนำไปสู่การโหมกระหน่ำ assign คนเข้าไปทำโปรเจ็คต์หรือการบังคับทำโอเวอร์ไทม์ ซึ่งนำไปสู่การใช้ manhour เกิน และการเร่งรีบทำงานมากๆ คุณภาพก็จะห่วย ทำให้ต้องมี rework เยอะ ซึ่งหมายถึงเงินที่ต้องเสียไปทั้งนั้น) นี่แค่โปรเจ็คต์แรกที่เราเป็นโคก็เจ๊งเสียแล้ว coordinator อ่ะนะ ถ้าโปรเจ็คต์หายนะจริงๆ คงได้โดนเปลี่ยนเป็นกระบือ อนาคตรุ่ง(ริ่ง)สุดๆ