The Journey - Part II
กลับมาต่อเรื่องการเดินทางจากพาสปอร์ตเล่มแรกของฉันกันต่อให้จบดีกั่ว...

6. ออสเตรีย (เวียนนา/ Innsbruck) - 20-29 มีนาคม 2537

ก่อนฉันจะไปเรียนที่ Sheffield มีรุ่นพี่ที่ลาดกระบังคนหนึ่งคือ พี่ดิว (ที่ไปดำน้ำกับพวกเราคราวที่แล้วไง) ไปเรียนที่ Bath อยู่ก่อน พอพี่ดิวเรียนจบก็ไปเรียนต่อที่ปริญญาโทอีกใบหนึ่งที่เวียนนาเพราะคุณพ่อของพี่ดิวเป็นคนออสเตรีย ก็เป็นช่วงเดียวกับที่ฉันกับพี่หนิงไปเรียนที่ Sheffield ตอนช่วงปิดเทอมสอง (ที่อังกฤษเรียน 3 เทอม เทอมละ 10 อาทิตย์ ปิดเทอม 2 อาทิตย์ นักเรียน Postgrad ต้องเรียน Summer ก็จะเป็น 4 เทอม 12 เดือนเต็ม) พี่หนิงกับฉันก็เลยชวนกันไปเยี่ยมพี่ดิวที่เวียนนา

ตอนขาไปฉันโดนเปิดกระเป๋าตรวจที่สนามบิน เจ้าหน้าที่เขารื้อของออกมากองๆ แล้วบอกว่า เขาไม่ได้เป็นศุลกากร ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนเก็บภาษี เขาแค่ตรวจเพื่อความปลอดภัย รื้อออกมาแล้วเดี๋ยวเขาจะเก็บให้ เแต่เขาก็ไม่ได้เก็บหรอก ฉันถามว่าทำไมถึงต้องตรวจฉัน ฉันมีทีท่าอะไรผิดปกติเหรอ เขาบอกว่าไม่ได้เห็นว่าฉันทำท่ามีพิรุธอะไรแต่เป็นการสุ่มตรวจตามหน้าที่ เออ... เริ่มต้นมาก็ได้เรื่องเลย ตอนไปถึงที่เวียนนารู้สึกว่าฉันจะมีปัญหาอะไรกับการตรวจกระเป๋าอีกเหมือนกัน จำรายละเอียดไม่ได้ แต่ประมาณว่าเริ่มต้นไม่ราบรื่นมันก็จะไม่ราบรื่นไปเรื่อยๆ

ฉันกับพี่หนิงพักที่อพาร์ตเมนต์ของพี่ดิว พี่ดิวพยายามจะทำอาหารเลี้ยงพวกเราเหมือนกัน แต่ดูจากท่าทางและอุปกรณ์เครื่องครัวเครื่องปรุงอาหารต่างๆ ก็พอจะดูออกว่าพี่ดิวเป็นคนประเภทเดียวกับฉัน คือ ไม่มานะกับเรื่องกินขนาดนั้น สุดท้ายก็ฝากท้องกับอาหารง่ายๆ หรือตามร้านอาหารและฟาสต์ฟู้ด กิจกรรมของเราในเวียนนาก็คือ ตระเวนตาม Landmark ต่างๆ ของเวียนนา ซึ่งก็นับเป็นความโชคร้ายของพี่หนิงอย่างมากที่ไปเวียนนาในเวลาที่ไม่เหมาะสม เพราะเป็นหน้าหนาว สถานที่ส่วนใหญ่ปิดซ่อมแซมเพื่อรอรับนักท่องเที่ยวที่จะมามากในช่วงหน้าร้อน พระราชวังสวยๆ อย่างพระราชวังเชินบรุน ก็มีนั่งร้านราวเหล็กสร้างไว้รอบราวกับเป็นกำแพงป้องกันข้าศึก ใน Botanical Garden ที่น่าจะมีดอกไม้พราวสะพรั่งเต็มไปหมด ก็มีแต่ต้นไม้โกร๋นๆ เหมือนยืนต้นตายกับดินแห้งๆ แถมยังโดนฉันกับพี่ดิวลากไปเดินตาม Kunsthaus (Art Museum) กับนั่งทอดอารมณ์ตามร้านกาแฟข้างถนนอีกต่างหาก

ฉันอ่านหนังสือไกด์เขาแนะนำว่ามาออสเตรียแล้วต้องไป Innsbruck เป็นเมืองท่องเที่ยว ไอ้ฉันก็ไม่รู้ว่าท่องเที่ยวอะไร แต่เล่าให้พี่หนิงฟังแล้วก็ตกลงกันว่าจะไปหละ ให้พี่ดิวจองตั๋วรถไฟจองโรงแรม คุณพ่อพี่ดิวได้ยินว่าเราจะไป Innsbruck ก็งงๆ ว่ามันจะไปกันทำไม แต่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรมากมาย พอเราไปถึงแล้วถึงเข้าใจว่าทำไมคุณพ่อพี่ดิวถึงสงสัย เพราะ Innsbruck เป็น Ski Destination ที่คนนิยมไปเพราะเขาจะไปเล่นสกีกัน ออกจากสถานีรถไฟก็เห็นสายระโยงระยางเต็มเมือง เป็นสายไฟของรถรางที่วิ่งรอบเมือง มองไปที่แบ็คกราวน์ไกลๆ ก็เห็นเป็นภูเขามีหิมะปกคลุม พวกเราก็เตรียมตัวกันไปพร้อมสุดๆ คือมีแจ็คเก็ตกันคนละตัวสองตัว ดูท่าว่าคงไม่สามารถไปสู้กับหิมะได้แน่ๆ ก็เลยได้แต่เดินชมเมือง ยังดีที่เราไปค้างแค่คืนเดียว

วันกลับเรากินอาหารเช้าแล้วก็ผ่านพิพิธภัณฑ์ ก็เลยว่าจะเข้าไปดู แต่เจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้ซื้อตั๋ว บอกว่าจะปิดแล้วเราเดินดูไม่ทันหรอก เราดูนาฬิกาแล้วก็ทำหน้างงๆ กัน เพราะเหลือเวลาอีกตั้งชั่วโมงกว่าๆ แต่พอไปดูนาฬิกาของเขาแล้วถึงได้ถึงบางอ้อ เพราะวันนั้นเป็นวันที่เขาเปลี่ยนเวลามาเป็นเวลาหน้าร้อนพอดี เวลาเดินหน้าไปอีก 1 ชั่วโมง ก็เลยอดเข้าพิพิธภัณฑ์ แต่เรารู้สึกว่าเป็นบุญมากเพราะไม่งั้นเราคงไม่รู้ว่าเขาเปลี่ยนเวลา และตอนเย็นเราคงตกรถไฟที่จะขึ้นกลับเวียนนา

7. กลับมาเยี่ยมบ้าน - 5-18 มกราคม 2538

หนึ่งปีผ่านไปฉันเรียนจบที่ Sheffield แต่ยังรู้สึกว่าไม่อยากกลับเมืองไทย ยังรู้สึกว่าไม่ได้ Expose กับวัฒนธรรมความเป็นอยู่และภาษามากเท่าที่ตั้งใจ ก็เลยขอที่บ้านเรียนต่อ ไม่รู้ว่าแม่คิดยังไง คงรู้สึกว่าไม่มีฉันอยู่ใกล้ๆ ก็ไม่ได้คิดถึงอะไรมากก็เลยยอม ฉันไปสมัครเรียนที่ Warwick (อ่านว่า วอ-ริค อยู่ใน Coventry) พอเรียนจบที่ Sheffield เดือนกันยา ก็ย้ายมาต่อที่ Warwick เดือนตุลาทันที

ไม่รู้ว่าเก๋ไปพูดจาเกลี้ยกล่อมแม่ว่ายังไง แม่ยอมอนุญาตให้เก๋บินไปอังกฤษไปช่วยฉันจัดการเรื่องย้ายข้าวย้ายของ เราเช่ารถขับจาก Sheffield มา Coventry พอเก๋จัดการเรื่องที่พักเรียบร้อยก็กลับเมืองไทย (ที่จริงไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่ เพราะฉันต้องไปอยู่หอสำรองชั่วคราวที่สภาพแย่มาก เพราะเป็นหอของพวก Undergrad ห้องนอนเล็กและเก่า ห้องน้ำรวมครัวรวม ทำเอาฉันอยากร้องไห้อยากกลับบ้านขึ้นมาติดหมัด แต่ต้องอึดต่อเพราะฉันเป็นคนหาเรื่องเอง อาทิตย์ต่อมาฉันถึงจะได้ย้ายไปอยู่หอของ Postgrad) ส่วนฉันก็เรียนที่ Warwick จนผ่านปีใหม่ ก็พอดีมีจังหวะว่างก็เลยกลับมาเยี่ยมบ้าน มีเวลาแค่อาทิตย์เดียวไม่ค่อยได้ทำอะไรมาก กว่าจะฟื้นตัวจาก Jetlag ได้ก็ถึงเวลาจะต้องกลับไปเรียนต่อ (ฉันจะรู้สึก Jetlag เฉพาะตอนกลับมาเมืองไทย ช่วงเวลาประมาณ 2 ทุ่มทรมานที่สุด ถ้าไม่มีอะไรที่น่าสนใจทำ ฉันสามารถจะนั่งๆ อยู่แล้วฟิวส์ขาดหลับวูบไปได้เลย) กลับไปถึงก็เจอต้องทำการบ้านส่ง 2 ชิ้น ทำเอาควันโขมงห้องเนื่องจากการเผารายงานส่ง

8. ฝรั่งเศส (ปารีส) 9-13 เมษายน 2538

ช่วงที่ฉันเรียนที่ Warwick เขาเพิ่งเปิดบริการรถไฟ Eurostar วิ่งจากลอนดอนไปปารีสกับบรัสเซลล์ ผ่านอุโมงค์ Channel Tunnel มีแพ็คเกจทัวร์ตั๋วรถไฟพร้อมโรงแรมขายราคาไม่แพง (ไม่รู้เป็นเพราะมันมีข่าวว่าช่วงแรกๆ ที่ให้บริการมีความขัดข้องเกิดขึ้น ทำให้รถไฟต้องติดอยู่ในอุโมงค์เป็นชั่วโมงๆ คนก็เลยหวาดๆ ไม่อยากจะใช้บริการหรือเปล่า) คนไทยที่เรียนด้วยกันที่ Warwick เขาก็เลยชวนๆ กันไปปารีส เขาก็บอกว่าเป็นโอกาสที่จะได้นั่งรถไฟ Eurostar อันทันสมัยและไปเที่ยว EuroDisney ฉันก็เลยไปกับเขาด้วย ไปกันกลุ่มใหญ่ประมาณ 10 คนได้

การเดินทางสะดวกรวดเร็วมาก เพราะไม่ต้องเสียเวลา Checkin เหมือนเครื่องบิน จากลอนดอนไปปารีสรู้สึกจะแค่ 3 ชั่วโมงเท่านั้นเอง เราไปเที่ยวหอไอเฟิล พิพิธภัณฑ์ลูฟ ถนนชองป์เซลิเซ ยูโรดิสนีย์ และที่ขาดไม่ได้ก็คือร้านขายน้ำหอม (ได้เจอพี่จุ๋มไฟแรงสูงอีกครั้ง หลังจากที่เจอครั้งแรกตอนปี 34 ที่ไปทัวร์ยุโรปเยี่ยม Pen friend ทำให้รู้ว่านักท่องเที่ยวเที่ยวกันแบบมี Patterืn มากแม้แต่ร้านขายน้ำหอมก็ยังไปซ้ำที่เดียวกัน) ถึงแม้สถานที่พวกนี้ฉันจะเคยไปมาหมดแล้วตั้งแต่สมัยทัวร์ยุโรปครั้งแรก แต่ไปครั้งนี้ก็เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ เพราะต้องขึ้นรถไฟใต้ดินเอง (รถไฟใต้ดินปารีสโกงได้ง่าย และมีคนโกงเยอะ ในระหว่างที่เรากำลังเงอะงะกับการซื้อตั๋ว เห็นฝรั่งกระโดดข้ามเครื่องกั้นไปต่อหน้าต่อตา) ต้องเดินหาและเดินหลงก่อนที่จะเจอสถานที่ที่เราต้องการจะไป ต้องตะกุกตะกักสั่งอาหารในร้านอาหารกันเอง ได้สัมผัสชีวิตของชาวปารีสมากขึ้น สรุปว่าชาวปารีสหยาบคายและไร้น้ำใจกับกะเหรี่ยงอย่างเรา (ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเราเป็นกะเหรี่ยงหรือเพราะเราไม่พูดภาษาฝรั่งเศสกันแน่) แต่ในความร้ายก็มีคนดี มีคนใจดีที่นอกจากจะตอบคำถามเราแล้ว ยังกุลีกุจอพาช่วยเราให้ไปถึงจุดหมายด้วยเหมือนกัน

9. ยุโรป 4 ประเทศ (ฝรั่งเศส สวิส ออสเตรีย อิตาลี) - 10-21 ตุลาคม 2538

หลังจากเรียนจบที่ Warwick ฉันย้ายเข้ามาอยู่กับหมูในลอนดอน (หมูไปเรียนที่ Imperial College พร้อมๆ กับที่ฉันเรียน Warwick) เราอยู่ในลอนดอนต่ออีกประมาณ 1 เดือนหลังจากเรียนจบเพราะอยากเที่ยวให้ทั่วๆ เสียก่อน คิดว่าจะไปเที่ยวยุโรปด้วย แต่ความที่เราไม่ได้มีเวลามากและไม่มีเวลาวางแผนก็เลยซื้อทัวร์แทนการแบกเป้ขึ้นรถไฟเที่ยวกันเอง ทัวร์ที่เราซื้อก็เป็นคล้ายๆ กับของ Insight ที่เราไปเที่ยวคราวแรก เขาไม่มี Choice ให้เราเลือกมากเพราะฉันดันไปเที่ยวทัวร์ชะโงก 6-7 ประเทศก่อนหน้านี้ไปแล้ว ไม่ว่าทัวร์ไหนๆ ก็ดูจะซ้ำกับที่ฉันเคยไปแล้วทั้งนั้น ในที่สุดก็ต้องทำใจ ซ้ำก็ซ้ำถือเป็นการรำลึกความหลัง

ตอนที่ฉันระบุวันกลับเมืองไทย เก๋ก็ไปเกลี้ยกล่อมแม่ (อีกแล้ว) ว่าควรจะมาช่วยฉันขนของและพาฉันกลับบ้าน (ไม่รู้ว่า 2 ครั้งที่ฉันกลับไปเยี่ยมบ้าน ฉันกลับไปเองได้ยังไง) เก๋ก็เลยไปทัวร์ยุโรปกับฉันกับหมูด้วย เก๋ให้บริษัททัวร์ทำวีซ่าจากเมืองไทย ส่วนฉันกับหมูต้องไปเข้าคิวที่สถานทูตต่างๆ กันเอง ทุกที่ก็ราบรื่นดีเพราะเรายังมีสถานะเป็นเด็กนักเรียนกันอยู่ มีอยู่ที่เดียวที่เราต้องไป 2 วันและต้องไปแต่เช้าตรู่ คือ สถานทูตอิตาลี ซึ่งมีคนเตือนว่าให้ไปแต่เช้า วันแรกเราก็ไปเช้าถ้าเทียบกับที่ไปสถานทูตอื่น แต่ปรากฏว่ายังสายไป ไปต่อเข้าแถวรับบัตรคิวไม่ทัน พออีกวันหนึ่งเลยแหกขี้ตาตื่นกันแต่เช้าตรู่ ก็ได้ทำวีซ่าเรียบร้อยดี

ในระหว่างที่เราอยู่ในลอนดอน รอไปเที่ยวยุโรปรอทำวีซ่า เราก็ตระเวนเที่ยวตามพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ในลอนดอน หมูมีบัตรนักเรียนที่สามารถเข้าพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ได้ฟรี ก็เลยเดินกันเพลินไปเลย พอเก๋มาเราก็ไปทัวร์ยุโรปกัน ในความรู้สึกของฉันอิตาลีคือ ไฮไลท์ เราไปฟลอเรนซ์ (มีเครื่องหนังฝีมือดีราคาถูกขาย แต่มีคนที่ร่วมทัวร์เดียวเราโดนพวกยิปซีล้วงกระเป๋าไประหว่างที่กำลังดูของในตลาด) โรม และเวนิซ แต่ไม่ได้ไปดูหอเอนที่ปิซ่า ไม่ได้ไปโยนเหรียญที่น้ำพุเทรวี่ แต่ฉันตั้งใจไว้ว่าถ้ามีโอกาสจะกลับไปอิตาลีอีกสักครั้ง เพราะยังติดใจความยิ่งใหญ่ตระการตาของโคลีเซียมและตึกต่างๆ ในโรม ความอลังการและมหัศจรรย์ของจัตุรัสกลางน้ำที่เวนิซ ใครจะว่ายังไงไม่รู้ แต่ฉันจัดให้อิตาลีเป็นอันดับหนึ่งในยุโรป

10. เรียนจบกลับเมืองไทย - 27 ตุลาคม 2538

หลังจากเรียนจบ เที่ยวในลอนดอนกับในยุโรปต่ออีกเดือนหนึ่งฉันก็นั่งเครื่องบินกลับบ้านพร้อมเก๋ สรุปรวมเวลาที่ฉันไปเรียนที่อังกฤษ คือ 2 ปี 2 เดือน เรากลับสายการบิน EVA Air ฉันจองตั๋วชั้น Economy ไม่ได้ ก็เลยต้องชื้อตั๋วชั้น Deluxe แทน ส่วนเก๋ซื้อตั๋วไปกลับจากเมืองไทยเป็นตั๋ว Economy เราก็เลยต้องนั่งแยกกัน ซึ่งก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรนอกจากเก๋ดูจะอิจฉาที่ฉันได้ที่นั่งฉันกว้างกว่า ยืดขาได้มากกว่า มีโทรทัศน์ส่วนตัว และ มีชุดของใช้ส่วนตัว (แปรงสีฟันยาสีฟัน โลชั่น ที่ปิดตา) ให้ด้วย

11. อังกฤษ ไปรับปริญญาที่ Warwick 9-17 มกราคม 2539

หลังจากกลับมานั่งๆ นอนๆ ตกงานอยู่บ้านที่แม่กลองอยู่เดือนกว่าๆ ฉันก็ได้จดหมายแจ้งเรื่องรับปริญญาจาก Warwick ตอนแรกฉันก็ไม่ได้คิดว่าจะไปรับปริญญา เพราะไม่เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญแถมต้องมีค่าใช้จ่ายมากมาย แต่แม่มาถามๆ เหมือนอยากจะให้ไป เก๋ก็เลยยุว่าให้พาแม่ไปเที่ยวด้วย ฉันก็ลังเลๆ แต่ในที่สุดก็ไป ฉันติดต่อจองแฟลตที่เดียวกับที่ฉันกับหมูอยู่ก่อนที่จะกลับเมืองไทย และให้พี่ปุ๊กจองที่พักที่ Warwick ให้สำหรับช่วงวันที่ฉันจะไปรับปริญญา (พี่ปุ๊กไปเรียนที่ Warwick หลักสูตรเดียวกับฉันในปีถัดมา ประมาณว่าก็อปปี้กันอ่ะนะ) แต่พี่ปุ๊กบอกว่าให้พักที่หอพี่ปุ๊กดีกว่าจะได้ไม่เปลือง เพราะค้างแค่คืนเดียว

เราไปค้างคืนที่ลอนดอนก่อนจะนั่งรถไฟไป Coventry พี่ปุ๊กทำอาหารให้กิน (โชว์ให้ดูว่าเครื่องครัวต่างๆ ที่เป็นมรดกตกทอดจากฉันยังอยู่ครบถ้วนและมีการใช้งานอย่างสม่ำเสมอ) ฉันกับแม่ค้างคืนที่ห้องพี่ปุ๊ก ส่วนพี่ปุ๊กยอมสละห้องไปนอนกับเพื่อนคนไทย แล้วตอนเช้าก็มาดูแลช่วยถ่ายรูปให้

ช่วงเช้าฉันก็ไปถ่ายรูปรับปริญญา ซึ่งก็เป็นเหมือนการถ่ายในร้านถ่ายรูปอ่ะนะ คือทำท่าถือใบปริญญา มีให้เลือกว่าจะถ่ายเดี่ยวถ่ายคู่ ไม่ได้มีการถ่ายรูปตอนที่รับปริญญาจริงๆ เหมือนของเมืองไทย ตอนบ่ายก็ไปเข้าหอประชุมรับปริญญา (ที่ Warwick เขาเรียกว่า Art Center เป็นที่เดียวกับที่ Clinton ไปกล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับนโยบายสิ่งแวดล้อม ตอนเขาไปเยือนอังกฤษเมื่อต้นปี) เขาให้แขกของบัณฑิตเข้าไปในหอประชุมได้คนเดียว เขาจะให้บัตรที่ระบุที่นั่งมา แม่ก็เลยต้องแยกไปนั่งตามที่นั่ง พิธีเขาก็ง่ายๆ มีอธิการบดีกล่าวแสดงความยินดีสั้นๆ แล้วก็ประกาศเรียกบัณฑิตขึ้นไปบนเวที แจกปริญญาจับมือแสดงความยินดี แล้วก็เดินลงจากเวทีไป (ความจริงก็คือจำไม่ค่อยได้ แต่คิดว่าเป็นประมาณนี้แหละ)

ฉันรับปริญญาเสร็จก็ออกมาถ่ายรูปอีกนิดหน่อย แล้วก็นั่งรถไฟกลับมาลอนดอน ฉันจำไม่ได้มากว่าพาแม่ไปเที่ยวไหนบ้างในลอนดอน ประมาณว่านั่งรถเมล์ 2 ชั้นเปิดหลังคาชมเมือง ไปดูการเปลี่ยนทหารยามที่พระราชวังบักกิ้งแฮม ไปพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งมาดามทูโซด์ ไปกินอาหารจีนแถวเบย์สวอเตอร์ เป็นทัวร์แบบซำเหมาพอสมควร เพราะฉันพาแม่ขึ้นรถไฟใต้ดินและเดินตลอด รถแท็กซี่สีดำของลอนดอนไม่ได้แอ้มเงินของเราหรอก แม่เพิ่งมาบ่นให้ฟังทีหลังว่าฉันพาเดินเยอะเกิน แต่ความที่อากาศเย็นก็เลยเดินได้ไม่เหนื่อย

หลังจากที่ฉันกลับจากไปรับปริญญามาได้วันเดียวก็ได้รับโทรศัพท์เรียกให้มาเริ่มงาน ก็เป็นอันว่าจบการเดินทางจากพาสปอร์ตเล่มแรกของฉัน เอาไว้ว่างๆ จะมาเล่าของเล่ม 2 เล่ม 3 ต่อ