คนที่ไม่เคยทำให้เราผิดหวัง

ก่อนงานแต่งงานเจี้ยมประมาณสัปดาห์หนึ่ง เจี้ยมส่งข้อความมาทางมือถือ บอกวันเวลาสถานที่ของงานแต่งงานและบอกว่าฝากการ์ดไว้ที่ตือ ความจริงก่อนหน้านี้มีนัดกันแล้วรอบหนึ่งเพื่อให้เจี้ยมแจกการ์ด (เราไม่ได้ไปเพราะรู้สึกไม่ค่อยสบาย) แต่วันนั้นการ์ดก็ยังพิมพ์ไม่เสร็จ ก็เลยแค่กินข้าวและถ่ายวิดีโอที่เจี้ยมจะเอาไปใช้ในงานแต่งงาน เป็นประมาณให้เพื่อนพูดถึงเจี้ยม

เราได้ข้อความแล้วก็ทิ้งไว้เฉยๆ ยังไม่ตัดสินใจว่าจะไปหรือเปล่า เพราะต้องทำโอเวอร์ไทม์ทั้งอาทิตย์ ก็จะดูว่าถ้าเหนื่อยมากก็จะไม่ไป เพราะกลัวนอนน้อยแล้วจะป่วยอีก แต่พอเช้าวันงานเราก็ได้โทรศัพท์จากตือ ถามว่า “ไปโรงแรมถูกไหมเนี่ย” พอเราบอกว่าไปไม่ถูก (ยังไม่ทันได้บอกว่าจะบางทีอาจจะไม่ไป) ตือก็อธิบายทางจากที่ทำงานเราไปถึงโรงแรมอย่างละเอียด แบบประมาณว่าไม่มีทางหลงเด็ดขาด

ถ้าจะมีใครซักคนในกลุ่มเราที่ไม่ทำให้เราผิดหวัง ก็เห็นจะเป็นตือนี่แหละ เวลานัดกันถ้าไม่มีตือชีวิตคงลำบาก (หรืออาจจะไม่ลำบาก เพราะก็จะไม่มีการนัดกัน) เพราะตือเป็นคนโทรบอกเพื่อนๆ บอกทางไปร้านอาหาร โทรจองร้าน ฯลฯ

วันก่อนเราทำโทรศัพท์มือถือหาย เบอร์ที่เก็บในซิมการ์ดก็หายไปหมด เราก็ส่งอีเมลไปที่ยาฮูกรุ๊ปที่ใช้คุยกับเพื่อนๆ ว่า ให้ช่วยบอกเบอร์มือถือเราด้วย คนส่วนใหญ่ก็บอกเบอร์ตัวเองกลับมา แต่ตือส่งเบอร์ตัวเองพร้อมรายชื่อและเบอร์โทรของเพื่อนๆ ทุกคนมาให้ด้วย เรายังตอบเมล์ตือไปว่า แบบนี้สิตือตัวจริงที่ไม่เคยทำให้เพื่อนผิดหวัง

พอตอนเย็น (ค่ำ) เราก็ออกจากออฟฟิศประมาณ ๒ ทุ่ม ขึ้นทางด่วนแล้วก็โทรเช็คกับเพื่อนอีกทีว่าไปถึงไหนกันแล้ว กะว่าถ้ารถติดหรืองานใกล้เลิกแล้วเราอาจจะเลยกลับบ้านเลย (ถึงไม่มีเราเขาก็แต่งงานกันได้หรอกน่า) พอดีตือบอกว่าอาหารเพิ่งออกมา ๓ อย่างเอง เราก็ขับรถไปเรื่อยๆ รถไม่ติดเลยใช้เวลาประมาณ ๒๐ นาทีเอง

ตอนเราเดินไปถึงหน้างาน (มีฟองสบู่ลอยออกมาจากประตูเป็นสายจนเราตกใจว่าอะไรกันเนี่ย มารู้ทีหลังว่าเป็น Effect ประกอบพิธีบนเวที) เห็นเจี้ยมยืนอยู่กับเจ้าสาวอยู่ตรงประตู กำลังรอพิธีกรเรียกขึ้นไปปรากฏตัวบนเวที ข้างในห้องจัดงานเขาดับไฟอยู่ เพราะกำลังฉายสไลด์แนะนำตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาว เราเดินเข้าไปก็เลยหาโต๊ะเพื่อนๆ ไม่เจอ ห้องก็ใหญ่และโต๊ะก็เยอะไปหมดอีกตะหาก สุดท้ายต้องโทรเข้ามือถือ ให้พวกมันโบกมือแสดงตัว เพื่อนๆ ก็มากันเยอะนะ มีคนที่เราจำหน้าได้แต่จำชื่อไม่ได้อยู่หลายคน เราก็ได้แต่ส่งยิ้มให้

งานแต่งงานเจี้ยมเป็นงานที่ยาวนานมาก นอกจากการฉายสไลด์ที่เดี๋ยวนี้กลายเป็น a must ของงานแต่งงานที่มาเป็นแพ็คเกจแล้ว ก็มีการสัมภาษณ์เจ้าบ่าวเจ้าสาวว่ารู้จักกันได้ไง (เป็นเรื่องน้ำเน่ามาก ซึ่งเราก็เพิ่งได้รู้วันนั้นเอง) มีวิดีโอ (สมัยนี้เขาเรียกว่าว่า VTR ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันต่างจากวิดีโอตรงไหน) ที่ให้เพื่อนสนิทเจ้าสาวพูดถึง(นินทา)เจ้าสาว ให้เพื่อนที่ทำงานเจี้ยมนินทาเจี้ยม พอดีวิดีโอที่เพื่อนๆ กลุ่มเรานินทาเจี้ยมใช้ไม่ได้ (แสงไม่พอ) ก็เลยเชิญตัวแทนเพื่อนตัวเป็นๆ (ตั้วกับรัน) ขึ้นไปสัมภาษณ์สด แล้วเสร็จแล้วก็ยังมีสัมภาษณ์เจ้าบ่าวเจ้าสาวต่ออีก

ประมาณว่างานบนเวทีมันยาวนานมากจนเราสงสัยว่ามันจะใช้เวลาทั้งคืน ตอนสุดท้ายที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวตัดเค้กเสร็จตอนพนักงานมาเสิร์ฟอาหารรายการสุดท้ายก่อนของหวาน พอเจ้าบ่าวเจ้าสาวลงจากเวทีได้ซักพักก็เห็นแขกเริ่มทยอยกันกลับ ตั้วบอกว่า เจี้ยมจ้าง Organiser มาจัดการทุกอย่างให้ เขาเลยจัดโปรแกรมให้แน่นเอี้ยดขนาดนั้น ปกติเวลาไปงานแต่งงานพวกเราจะต้องนั่งยื้อกันจนเจ้าหน้าที่เขาเริ่มเก็บโต๊ะ แต่งานเจี้ยมเรายังไม่ทันได้นั่งยื้อ เจ้าหน้าที่เขามาเก็บโต๊ะแล้ว เพราะรายการบนเวทียาวนานเกินไป

เรื่องน้ำเน่า

ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า เอาเรื่องเพื่อนมาขายจะเป็นอะไรไหม (ไม่เป็นไรหรอกมั้ง มันคงไม่ได้มาอ่าน) คือที่เขียนไปข้างบนว่า การที่เจี้ยมมันรู้จักกับแฟนมันเป็นเรื่องที่น้ำเน่ามาก ก็คงสงสัยกันว่า เน่าจริงหรือ เราอาจจะปากจัดไปเอง ลองฟังกันดูละกัน

เรื่องของเจี้ยมนี่เกิดเมื่อ ๖ ปีที่แล้ว ตอนนั้นเจี้ยมมีหน้าที่ขับรถไปส่งแม่ที่โรงเรียนตอนเช้าทุกวัน (แม่เป็นครู) ผ่านเส้นทางเดิมเป็นกิจวัตร อยู่มาวันหนึ่งก็สะดุดตากับผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังเดินอยู่ริมถนน วันต่อมาก็เจออีก วันต่อๆ มาก็เจออีก ก็ถามแม่ว่า ผู้หญิงคนนี้น่ารักไหม แม่บอกว่าน่ารัก เจี้ยมก็บอกกับตัวเองว่า จะต้องทำให้ผู้หญิงคนนี้รู้จักเราให้ได้

พอต่อมาอีกประมาณเดือนหนึ่ง โรงเรียนแม่ปิดเทอม ก็เลยไม่ต้องรีบไปส่งแม่ เจี้ยมคิดว่าได้เวลาจะทำให้ผู้หญิงคนนี้รู้จักตัวเองแล้ว ก็ซื้อดอกกุหลาบแดง พิมพ์จดหมายใส่กระดาษ ไปดักรอที่หน้าที่ทำงานของผู้หญิง (ประมาณว่า ในระยะหนึ่งเดือนนั้นก็สังเกตจนรู้ว่าผู้หญิงคนนี้เดินจากไหนไปไหน และรู้ว่าปลายทางที่ผู้หญิงคนนี้เดินไปเป็นซอยตัน) พอเจอหน้าก็บอกว่า ช่วยรับดอกไม้กับจดหมายนี้ไว้หน่อยนะครับ

ในจดหมายก็เขียนประมาณว่า แนะนำตัวและเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมถึงมาส่งจดหมายให้ ลงท้ายว่าหวังว่าคงจะได้เป็นเพื่อนกัน (ตรงนี้พิธีกรบนเวทีถามว่า หวังแค่เพื่อนเองเหรอครับ เจี้ยมมันตอบว่า “ตอนนั้นคุณจะหวังอะไรไปมากกว่านั้นละครับ”) สุดท้ายจากขอเป็นเพื่อนก็กลายเป็นงานแต่งงาน เราฟังแล้วก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่า เรื่องแบบนี้ที่คล้ายจะมีแต่ในหนัง มันเป็นชีวิตจริงของเพื่อนเรา แต่ตั้วก็บอกว่า วิธีการที่เจี้ยมใช้มันก็เป็นแบบเจี้ยมนั่นแหละ คือต้องครีเอทีฟๆ แบบที่ (คนปกติอย่าง) พวกเราไม่กล้าคิด

นอกจากเรื่องน้ำเน่านี้ ก็มีอีกเรื่องที่เราเพิ่งรู้สึกในวันนั้นก็คือ เรามองภาพบนเวทีที่มีกล้องถ่ายมาออกที่จอโปรเจ็คเตอร์อันใหญ่บึ้ม อยู่พักหนึ่งแล้วก็รู้สึกตะหงิดตะหงิด ทำไมเพื่อนกรูเหมือนปัญญา นิรันดร์กุลขนาดนี้วะ (คือเจี้ยมหน้าตี๋ๆ ใส่แว่นอ่ะนะ) ยิ่งดูมุมเฉียงๆ แล้วเวลาพูดก็เก๊กเสียงหน่อยๆ (ประมาณว่าอยู่บนเวทีต้องเก๊กหล่อ) ตอนแรกเราก็คิดอยู่ในใจ แต่สุดท้ายมันเหมือนมากจนเราอดไม่ได้ ต้องหันมาพูดให้โอกับโมฟัง สองคนนี้ดูแล้วก็เห็นด้วยไปกับเรา