ลืมตัว
ตอนสมัยที่เราเริ่มทำงานใหม่ๆ เราเคยเห็นตามผนังของคนที่เข้างานมาก่อนหน้าเรา บางคนจะมีคำพูดพวกธรรมะสอนใจติดอยู่ เราเคยคิดประมาณว่า เขาคงเป็นประเภทเคร่งๆ ศาสนา หรือใฝ่ทางธรรมอะไรประมาณนั้น แต่ตอนนี้เราเพิ่งสำนึกว่ามันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ บางทีเขาอาจจะต้องการเครื่องเตือนใจ เพราะบางทีคนเราก็ลืมตัวเอาง่ายๆ อย่างที่เมื่อสองสัปดาห์ก่อน เราลืมตัวสุดๆ ไปเลยเหมือนกัน

เรามีงานที่ต้องดูเรื่อง Drawing ที่ต้องเอาเข้าไปเก็บในระบบไฟล์ของบริษัท แต่มันมีข้อมูลที่ต้องเก็บเพิ่ม พวกชื่อ drawing และรายละเอียดที่จะได้เอาไว้เสิร์ชหาทีหลังได้ สมัยก่อนให้วิศวกรวิธีเขียนรายละเอียดของ drawing ในฟอร์มกระดาษ แล้วก็เอาไปให้คนแผนก drawing control เป็นคนเอาเข้าไปในระบบ ตอนนี้ยุคที่ทุกคนพยายามเดินเข้าไปใน paperless society เขาก็เปลี่ยนเป็นให้ใช้ electronic form คือเป็นไฟล์ word ซึ่งแบบฟอร์มอันนี้มันก็กรอกยากกรอกเย็น copy ก็ไม่ได้ และช่องที่เตรียมไว้ก็ไม่เหมาะสม

ตอนแรกที่เขาประกาศว่าทุกคนต้องใช้ฟอร์มนี้ เราก็รอดูว่าจะมีคนบ่นหรือแสดงความคิดเห็นอะไรมั่ง เพราะเราได้ใช้แล้วก็รู้สึกว่ามันไม่น่าใช้ แต่ไม่อยากจะไปคอมเมนต์แล้ว ประมาณว่าเหนื่อย ไม่อยากพูดมาก พูดไปแล้วก็ไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้นในแง่ของสิ่งที่เราอยากให้เปลี่ยนแปลง แต่กลายเป็นทำให้เรา Stand out จากคนอื่น มีโอกาสที่ดีกว่าคนอื่น หรือบางทีก็กลายเป็นดีเกินหน้าคนอื่น ให้เขาอิจฉาอีก หลังๆ นี้ก็เลยทำตัวโลว์โพรไฟล์ แล้วก็ทำใจรับกับสิ่งที่มันเป็นอยู่ ไม่ได้ต้องทำตัวเป็นตำรวจออฟฟิศ คอยคิดจะแก้โน่นแก้นี่ตามที่ใจเราอยากให้เป็น

แต่วันก่อนเราก็ดันไปเบรกแตกเพราะไอ้เรื่องแบบฟอร์มนี่แหละ เราไปถามหัวหน้าว่า เนี่ย แบบฟอร์มเนี้ยมันไม่เวิร์คเลยนะ ไม่มีใครคอมเมนต์เลยเหรอว่ามันห่วยยังไง น่าจะปรับปรุงยังไง ความจริงก่อนหน้านั้นมีคนเคยคอมเมนต์มาแล้วหละว่ามันใช้ยาก เป็นคนโปรเจ็คต์เดียวกับเรานี่แหละ แต่หัวหน้าเราตอบกลับไปว่า แต่มันนโยบายบริษัท ยังไงก็ต้องใช้ แล้วเขาก็เห็นแผนกไฟฟ้าใช้กันมาตั้งนานแล้ว ไม่เห็นมีใครบ่นอะไรนี่นา

เราบอกว่า การที่คนไม่บ่น ไม่ได้หมายความว่าเขาแฮ้ปปี้กับมัน คนหลายๆ คนก็ทำงานไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องคิดว่ามันควรจะเป็นยังไง ทำตามคำสั่ง แปดโมงเช้ามาทำงานห้าโมงเย็นก็กลับบ้านไม่เห็นต้องคิดมาก แต่เวลาที่มีคนคอมเมนต์ เขาควรต้องฟัง เขากลับตอบเราว่า เขาไม่ได้หวังว่าจะให้เราเป็นคนที่ต้องมานั่งคีย์ข้อมูลกรอกแบบฟอร์มเอง เวลาของเรามีค่ามากกว่านั้น ให้เราอธิบายให้เด็กที่เป็นเลขาทำดีกว่า ถ้าต้องการคนที่ทำงานเลขาเพิ่มก็จ้างเพิ่มได้

เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ประเด็นนั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าใครเป็นคนออกแรงคีย์ข้อมูล แต่มันเกี่ยวกับว่า Process มันไม่มีประสิทธิภาพ ก็ต้องมีการแก้ไข เราด่าๆๆๆ อยู่ประมาณสิบนาที เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่เราเดินเข้าไปโวยๆๆๆ ใส่หัวหน้าเราอย่างฉุนขาดแบบนั้น เราพูดจบก็รู้ตัวว่า นี่กูเข้ามาด่าอย่างเดียวเลยนะ เพราะนึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะแก้ไขปัญหายังไง เพราะที่จริงมันเป็นที่ระบบโดยรวมมันห่วย ถ้าจะแก้ให้ดีมันต้องรื้อหมดทั้งยวง ซึ่งคงทำไม่ได้ แต่หัวหน้าเราก็ดีนะ ทนฟังเราจบโดยไม่ได้โมโหตามไปด้วย (อาจจะคงยังงงอยู่ว่า อีนี่มันไปของขึ้นมาจากไหนวะ)

เราด่าเสร็จก็กลับมานั่งที่ นึกทบทวนพฤติกรรมตัวเองแล้วก็ละอายหน่อยๆ เออ ทำไมฉุนขาดได้วะ พอเรากลับมาบ้านที่แม่กลอง เราได้อ่านมติชนสุดสัปดาห์ หน้าสุดท้าย เป็นคอลัมน์ของคุณขรรค์ชัย บุนปาน เรารู้สึกว่าเขาเป็นคนแก่ที่น่านับถือ มีธรรมะและกล้าที่จะติติงคนเลว ชื่นชมคนดีอย่างตรงไปตรงมา ว่างๆ เขาก็เอาเรื่องธรรมะมาเล่าให้ฟัง ฉบับนั้นเขาเล่าประมาณว่า มีคนถามว่าเขาชอบเอาธรรมะมาเขียน จริงๆ แล้วรู้จริงแค่ไหน เขาก็บอกว่ารู้ไม่เยอะ รู้ก็แต่เรื่องพื้นๆ อย่าง ฆราวาสธรรม ก็รู้แค่ว่า

“เป็นหลักธรรมของคนที่มีอยู่ และเพื่อชีวิตจะดีขึ้นก็ควรมีธรรมของฆราวาสกำกับไว้บ้าง
สัจจะคือความจริงเป็นข้อแรก ไม่มีสัจจะก็เป็นอสัตย์ คบไม่ได้ เป็นไอ้สัตว์ ยังพอเลี้ยงได้
สองคือ ทมะ ความข่มใจหรือการควบคุมตัวเอง กำเริบเหิมเกริมนัก ก็บ้าน้อยลงนิด อะไรพร่องก็แก้ไขให้มันเต็ม ทำด้วยสำรวมสังวรยิ่งวิเศษ
สาม ขันติ คือความอดทน อย่างน้อยก็อดทนต่ออำนาจฝ่ายต่ำให้ได้ หิว กระหาย หนาว ร้อน เยี่ยน ยั่ว ถึงเวลาก็ต้องทนให้ได้ด้วยความสงบระงับ
สี่ จาคะคือความเสียสละ แค่เสียสละความโกรธ ความเห็นแก่ตัว การทำงานร่วมกับคนอื่นก็แทบไม่เป็นภาระของโลก”

อ่านแล้วอึ้ง เหมือนกำลังวิ่งเข้าใส่อะไรซักอย่างแล้วโดนกระชากอย่างแรง หงายหลังโครมกลับมา นึกย้อนไปถึงตอนที่เราด่าๆๆๆๆๆ หัวหน้าเรา เฮ้ย เราทำแบบนั้นไปได้ไงวะ ไม่มีสติเลย ข่มใจก็ไม่ได้ เสียสละความโกรธก็ไม่ได้ เข้าใจเลยว่าบางทีคนเราก็ต้องอ่านเรื่องธรรมะแบบนี้ไว้กระตุกใจ และบางทีคนเราก็ต้องพิมพ์พวกธรรมะสอนใจไปติดไว้ตามบูธมั่ง เผื่อเวลาของขึ้น จะได้เตือนใจไม่ให้ให้ลืมตัว

ยังไม่จำ

ข้างบนนั่นเขียนไปเมื่อปลายเดือนกันยา ยังไม่ทันได้เอาไปแปะในไดฯ ยังไม่ได้พิมพ์ธรรมะมาเตือนตัวเอง วันนี้เอาอีกแล้ว ส่งอีเมล์ด่านายไปอีกแล้ว เรื่องมันมีอยู่ว่า งานที่เราทำเนี่ยมันต้องแชร์กันหลายออฟฟิศ เขาก็จะตัดสินจากเนื้องานว่า ออฟฟิศไหนทำเยอะ ก็จะเอาดาต้าเบสไว้ที่ออฟฟิศนั้น คนที่ออฟฟิศนั้นก็จะทำงานได้เร็ว ส่วนคนออฟฟิศอื่น ต้อง Access ข้อมูลผ่านเน็ตเวิร์คก็จะช้า

โปรเจ็คต์จีนที่เราทำตลอดช่วงปีที่ผ่านมาเนี่ย ดาต้าเบสอยู่ที่กรุงเทพฯมาตลอด พองานเริ่มซาลง เขาก็เอากลับไปทำที่อเมริกา เขาก็เลยจะย้ายดาต้าเบสกลับไปด้วย ตามกำหนดเดิมเขาจะย้ายสัปดาห์หน้า ตรงกับวันหยุดวันปิยฯของเราพอดี

พอเมื่อวานตอนเช้าเราได้อีเมล มีคนถามเราเรื่องงานที่เราทำค้างอยู่ว่า พอจะช่วยเขาทำต่อได้ไหม แต่หัวข้อหนะชื่อว่า ย้ายดาต้าเบสวันที่ ๑๖-๑๗ ตุลา เราก็เลยงง อ่านลงไปข้างล่างๆ ถึงได้รู้ว่าเขาตัดสินใจย้ายดาต้าเบสบางส่วนไปเมื่อวันหยุดที่ผ่านมา เราก็เลยเดินเข้าไปถามนายเราว่า เขาตัดสินใจย้ายกันแล้ว ทำไมไม่มีการแจ้งกันเลย เพราะถ้าย้ายแล้วงานที่เราทำก็โอนไปให้คนที่อเมริกาด้วย (นายเราได้ CC ตั้งแต่อีเมลฉบับแรกที่ส่งแจ้งเรื่องเปลี่ยนวันย้ายดาต้าเบส)

นายเราบอกว่า เขาลองทดสอบโปรแกรมไปแล้วเมื่อเช้า ความเร็วยังเท่ากับตอนยังไม่ย้าย เพราะฉะนั้นการย้ายดาต้าเบสไม่มีผลกับการทำงานของ เราบอกว่า ไม่มีผลอะไร อย่างน้อยก็ต้องบอกกันว่าย้ายแล้วงานจะโอนกันเมื่อไหร่ยังไง ถ้าไม่มีการบอกกันจะรู้ได้ไงว่าต้องทำงานต่อไปหรือหยุดทำได้แล้ว นายเราบอกว่า ไม่ต้องหยุด ให้เราทำเหมือนเดิมต่อไปอีกอาทิตย์หนึ่ง เราก็ยังไม่แล้วใจเรื่องไม่มีการแจ้งกัน แต่ก็ยอมเดินออกมาโดยไม่ได้โวยอะไรต่อ

พอเช้าวันนี้ มีคนขอให้เราช่วยทำงานที่เคยเป็นของเรา แต่ตอนนี้ถูกโอนกลับไปเป็นหน้าที่เขา (รายละเอียดตามอีเมลที่แนบมา) ให้หน่อย เขาทำไม่ทัน ไอ้อีเมลที่แนบมา ก็คืออีเมลที่เราไม่ได้รับตอนแรก แล้วไปโวยกับหัวหน้าเรานั่นแหละ ถ้าอ่านจากอีเมลวันนี้ที่เราได้ ก็คือทุกคนเขาเข้าใจว่างานของกรุงเทพฯถูกโอนกลับไปอเมริกาแล้วหลังจากที่ดาต้าเบสย้ายเสร็จ เมื่อเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา

เราก็เลยฟอร์เวิร์ดเมลที่ได้ไปให้หัวหน้า บอกว่า ถ้าตามที่อ่านในอีเมล์ที่เราได้มาเนี่ย เราตีความว่าคนที่อเมริกาเขาเอางานกลับไปแล้ว แล้วตกลงเราจะได้รับการแจ้งข่าวอย่างเป็นเรื่องเป็นราวไหม หรือว่าจะต้องให้เดาใจกันไปเรื่อยๆ อืมม์ ก่อนส่งก็โมโห ตอนกดส่งก็สะใจดี แต่พอส่งไปแล้วก็นึกว่า กูทำไปทำไมวะ สุดท้ายมันก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง

เฮ้อ... ทมะ ขันติ จาคะ ไม่เหลือซักข้อ...