เชียงรายตอนใต้
ไปเที่ยวเชียงรายกับเชียงใหม่มา โดยรวมๆ สำหรับเราก็โอเค แต่เตี่ยไม่ชอบวันที่ไปนอนที่บ้านพักอุทยานบนดอยอินทนนท์ เพราะไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกอะไรให้เลย แต่แม่แจ๋วมากๆ เราว่าถ้าพาแม่ไปไหนๆ ก็ได้ แต่กับเตี่ยต้องเลือกให้สะดวกสบายหน่อย หรือไม่ก็คงต้องบอกรายละเอียดให้เตรียมใจกันไว้ก่อน แม่พี่ปุ๊กก็เจ๋งมากๆ เตรียมของไปแต่ละอย่างเวิร์คๆ ทั้งนั้น (เช่นมีทองไปปิดที่วัดพระแก้ว มีขดลวดต้มน้ำ ไปต้มน้ำสำหรับน้ำชาบนดอยอินทนนท์)

ออกเดินทางวันพฤหัส ๒๖ พฤศจิกา นัดเจอกันเจ็ดโมงยี่สิบ แต่เก๋นัดเรากับแม่หกโมงครึ่ง พี่หนิงกับพี่หญิงบอกว่าเช้าไป เพราะเครื่องออกแปดโมงยี่สิบ มาเจ็ดโมงสี่สิบห้าก็ยังทัน (เป็นไปตามความคาดหมาย) เราไม่ได้พูดอะไรแต่พี่ปุ๊กก็ว่าๆ ไปว่าไม่เกรงใจผู้ใหญ่ก็ตามใจ สุดท้ายพี่หนิงบอกว่าจะพยายามมาให้ทันเจ็ดโมงยี่สิบ

เราตั้งนาฬิกาปลุกตีห้าครึ่ง บอกให้เก๋โทรมาปลุกก่อนออกจากบ้านด้วย แล้วเราก็ไม่ตื่นแถมเก๋ก็ลืมโทรปลุก โทรมาอีกทีคือหกโมงแล้ว อาบน้ำแต่งตัวนั่งแท็กซี่ไปสนามบิน ถึงเกือบเจ็ดโมงคนเยอะมาก คาดว่าเป็นเพราะกิจการโลว์คอสต์แอร์ไลน์กำลังเฟื่อง (บวกกับเทศกาลลอยกระทงหน่อยหนึ่ง) คนอื่นๆ มากันเกือบครบแล้ว ก็ไปนั่งกินบะหมี่ตรงที่เคยเป็นเบอร์เกอร์คิง กินเสร็จพี่หนิงยังไม่มาก็เลยสรุปว่าจะแยกให้พี่หนิงกับพี่หญิงเช็คอินต่างหาก

ตอนเช็คอินก็มีเรื่องอีก เพราะแม่ไม่ได้เอาบัตรประชาชนมา (เรากะเก๋ก็ดันไม่ได้เตือนแม่ก่อนมา) เจ้าหน้าที่บอกให้แฟกซ์มาได้ ต้องโทรให้ก๊อใหญ่แฟกซ์มาให้ (สมกับเป็นบริการ ๒๔ ชั่วโมง) แต่เครื่องแฟกซ์ของการบินไทยมันเจ๊ง แฟกซ์เท่าไหร่ๆ ก็ไม่ออก สุดท้ายต้องไปใช้แบบเสียตังค์ของไปรษณีย์ เสียค่าบริการ ๑๑ บาท ได้สำเนาบัตรประชาชนมาก็นึกว่าต้องเอาไปให้ที่เคาน์เตอร์ แต่ที่จริงไม่ต้อง เอาไว้โชว์ตอนตรวจบัตรขึ้นเครื่องเฉยๆ แล้วก็เก็บเอาไว้ใช้ขากลับอีกรอบ

ไปถึงเชียงรายสิบโมง ก็มีรถตู้มารับ ไปแวะซื้อของกินที่ตลาดจะเอาไปกินที่น้ำพุร้อนห้วยหมากเหลี่ยมที่พี่ปุ๊กหาเจอจากอินเทอร์เน็ต ก่อนออกจากตัวเมืองเชียงราย พี่หวินคนขับรถตู้พาแวะที่วัดพระแก้ว เราชอบมาก เพราะสวยแบบมีสไตล์ (ว่าตามความรู้สึกเรานะ คือ สร้างและตกแต่งอย่างพิถีพิถัน ไม่ได้ทำลวกๆ เราชอบลวดลายที่เขาทำตามผนัง ทั้งในโบสถ์ และที่ศาลาหรือหออะไรซักอย่างที่ทำด้วยไม้ทั้งหลัง ทำออกมาแล้วสวย แต่ไม่ดูโอเวอร์) บริเวณวัดก็ร่มรื่น สะอาด และไม่มีของขายในวัดให้เกะกะ (เขามีป้ายติดว่าเป็นวัดตัวอย่าง จึงไม่อนุญาติให้มีของต่างๆ และสิ่งอบายมุข i.e. ล็อตเตอร์รี่ มาขายในวัด) ถ้ามีโอกาสไปเชียงรายจะไปวัดนี้อีก

   

ออกจากวัดพระแก้วก็จะไปน้ำพุร้อน แต่ปรากฏว่าไปผิดที่ กลายเป็นไปโผล่ที่โป่งน้ำตกอะไรซักอย่างแทน พอดีเที่ยงแล้วก็เลยแวะกินข้าว พี่ปุ๊กบอกให้เอาผ้าม่านในห้องน้ำไปด้วย ก็เอาไปคนละผืน ปูนั่งกันในศาลาสบายใจ กินเสร็จ ก็ลองจะเดินไปดูน้ำตก แม่พี่ปุ๊กกับแม่เราไม่ไป แต่เตี่ยฟิตมากออกเดินไปก่อน เขาบอกว่า ๘๐๐ เมตร แต่เราเดินกันไปประมาณซัก ๔๐๐ เมตรได้ก็หมดทางเดิน แล้วก็ไม่เห็นมีน้ำตก สุดท้ายเดินกลับมาเล่นน้ำตรงแอ่งด้านล่างๆ ที่เราเดินผ่านไป ไม่รู้จะเดินขึ้นไปทำไมกัน (ออกกำลังมั้ง แล้วก็เดินไปเพื่อให้ได้รู้ว่าไม่มีอะไร)

   

ออกจากน้ำตกก็หาทางไปน้ำพุร้อนห้วยหมากเหลี่ยมจนได้ เป็นน้ำพุร้อนที่อยู่ริมแม่น้ำแม่กก ข้างๆ บ่อน้ำพุร้อนมีสระบัว มีบัวเยอะแต่ไม่บานสวย พี่หนิงกับพี่ปุ๊กบอกว่าต้องมาตอนเช้า เขาทำสระไว้ให้แช่น้ำพุร้อนด้วยโดยเอาน้ำเย็นมาผสม ถ้าจำไม่ผิดน้ำพุร้อนที่นี้ ๖๗ องศาเซลเซียส มีคนบอกให้ไปซื้อไข่มาต้มกิน เขาขายตะกร้าละ ๑๐ บาทมี ๓ ลูก ตะกร้าผูกกับไม้รวกยาวๆ เหมือนเบ็ด เราอุตสาห์ประคองมาอย่างดี กลัวไข่แตก คนขายบอกว่าให้แช่นาน ๕ นาที เราก็งงว่ามันจะสุกได้ไง คนขายบอกว่าเขาลวกมาให้แล้วหน่อยหนึ่ง แต่พอตอนขากลับเราไปแวะที่แผงไข่ลองหยิบขึ้นมาเขย่าๆ แหม... แน่นตึ้บเลย ประมาณว่าเขาต้มไข่ไว้แล้ว ให้เราเอาไปแช่น้ำพุร้อนพอให้อุ่นๆ สรุปว่าไม่ใช่ไข่หรอกที่โดนต้มเราต่างหากที่โดนต้มให้ซื้อไข่สุกมาอุ่นในน้ำพุร้อน

ที่น้ำพุร้อนนี่ ไอโกะได้หมวกม้งมาหนึ่งใบ ราคา ๓๐ บาท คุ้มเงินมาก ถูกอกถูกใจ ใส่ทั้งทริป ตอนวันกลับไอโกะใส่เสื้อที่เพิ่งซื้อมาเป็นชุดชาวเขาด้วย ตอนเช็คอินคนที่แอร์เอเชียถามว่า มีเอกสารแสดงตัวของน้อง(ไอโกะ)ไหม แม่มันบอกว่าไม่มี พวกเราบอกว่า เป็นเพราะดันไปแต่งตัวให้มันแบบนั้น เขาเลยนึกว่าไปอุ้มเด็กชาวเขากลับมาด้วยอ่ะสิ

ออกจากน้ำพุร้อนก็มุ่งหน้าไปที่พักที่ “สวนทิพย์วนา” เป็นที่พักจากหนังสืออันซีนพาราไดส์ของกสิกร อยู่อำเภอแม่สรวย (อ่านว่า แม่ “สวย”) ระหว่างทางก็แวะวัดร่องขุ่นของอาจารย์เฉลิมชัย เขาทำเป็นจุดพักนักท่องเที่ยวอยู่ฝั่งตรงข้ามวัด เป็นที่จอดรถ มีร้านขายของ ก็ดีนะ เป็นสัดเป็นส่วนและตอบสนองความต้องการได้ดี (คนมาเที่ยวบางคนก็อยากจะซื้อของด้วย แต่ถ้าเอาไว้ในวัดทั้งหมดก็จะเกะกะรุงรัง)

คนที่มาทริปนี้ส่วนใหญ่เคยมาวัดร่องขุ่นแล้ว มีแต่พวกป้าๆ สาวโฉดเท่านั้นที่ไม่เคย สิ่งที่โดดเด่นคือโบสถ์สีขาวโพลน ลวดลายเป็นลายไทยแหลมๆ ประดับด้วยกระจกใสๆ แม่กับเตี่ยบอกว่า คราวที่แล้วเขาใช้กระจกทั้งหมด แต่คราวนี้ดูเหมือนกับเขาจะแก้ไขเป็นใช้กระจกตัดขอบเฉยๆ ประมาณว่าสร้างไปเรื่อยๆ แก้ไขไปเรื่อยๆ เอาให้ถูกใจที่สุด ไม่เร่งไม่ร้อนว่าต้องเสร็จเมื่อไหร่ คนที่มาดูก็มาดูทั้งๆ ที่ยังไม่เสร็จ ในโบสถ์เขามีแบบร่างให้ดูด้วยว่า ตั้งใจทำไว้แบบไหน (พี่ปุ๊กบอกว่า นับเป็นไซต์ก่อสร้างที่ยังไม่เสร็จที่มีคนมาตรวจงานมากที่สุด)

     

แม่บอกให้เดินรอบโบสถ์ด้วย (หลังๆ นี้จะเป็นธรรมเนียมของแม่ เพราะแม่ไปฟังพระที่ไหนไม่รู้บอกว่า การเวียนเทียน เวียนตอนไหนก็ได้ ไม่ต้องจุดเทียน ไม่ต้องมีดอกไม่ก็ได้ ทีนี้เวลาไปวัดไหนๆ แม่ก็เลยจะพยายามเดินเวียนเทียน) เราบอกแม่ว่าเดินรอบเดียวพอนะ (ขี้เกียจ) เดินไปแล้วก็นึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไปพร้อมๆ กันเลย (เวียนเทียนแบบด่วน ทรีอินวัน) รอบๆ โบสถ์มีป้ายเตือนว่า เด็กวิ่งเล่นให้ระวังว่าลวดลายแหลมๆ จะทิ่มเอา!! เราเดินผ่านไปด้านหลังโบสถ์เลยเห็นร่องรอยเหมือนกับว่า โบสถ์นี้สร้างทับต่อเนื่องจากโบสถ์เดิม เก๋ไปอ่านประวัติในอาคารที่ขายของที่ระลึกแล้วก็ยืนยันว่าใช่ อาจารย์เฉลิมชัยเขาเป็นคนแถวนั้น บอกว่าไปวาดรูปที่วัดที่โบสถ์ที่โน่นที่นี่ กลับมาบ้านตัวเองเห็นวัดโทรมๆ โบสถ์เก่าๆ ก็เลยบูรณะจนงามขนาดนี้

ที่ขายของที่ระลึกมีภาพพิมพ์รูปที่อาจารย์วาดขาย ราคาไม่แพงหลักร้อยๆ หรือพันต้นๆ เอง (แล้วแต่ขนาด) แล้วก็มีเสื้อยืด โปสการ์ดขาย ประมาณว่าเอาเงินเข้าทำบุญค่าก่อสร้าง ก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้อง “ขายของขลัง” เหมือนบางที่ หรือจะไม่ซื้อของจะทำบุญเฉยๆ ก็ได้ แม่บอกว่า เขามีกฎว่า ให้ทำบุญได้ไม่เกิน ๑ หมื่น และห้ามลงชื่อ (ไม่เหมือนวัดส่วนใหญ่ ที่ตามเสาโบสถ์ ตามกำแพงวัดก็จะมีชื่ออุบาสกอุบาสิกาติดเต็มไปหมด) ประมาณว่าทำบุญไม่ต้องเอาหน้าหรือเปล่า

ออกจากวัดร่องขุ่นก็เกือบหกโมง ไปถึงสวนทิพย์ก็เกือบทุ่มหนึ่ง กินข้าวที่ร้านอาหารก่อนแล้วค่อยเข้าห้องพัก ห้องพักมีแค่ ๓๖ ห้อง แต่บริเวณกว้างมาก เหมือนกับจะมีได้ซักเป็นร้อยห้อง เขาสร้างเป็นบ้านไม้หลังๆ หลังละ ๖ ห้อง (มี ๒ ชั้น ชั้นละ ๓ ห้อง) จะเช่าแยกกันหรือ เปิดต่อกันได้หมด ๓ ห้องก็ได้ ในห้องพักมีระเบียงออกไปให้นั่งเล่นกินกาแฟ เราตั้งใจว่าตอนเช้าจะตื่นแต่เช้ามานั่งกินกาแฟดูทะเลหมอก (เขามีกาแฟแบบกรองกับเครื่องต้มให้ด้วย) และเดินดูบริเวณ แต่ก็สุดท้ายได้แค่เดินดูบริเวณเฉยๆ ไม่ได้กินกาแฟ ทะเลหมอกก็ไม่เห็น เพราะฝนตกปรอยๆ

ที่สวนทิพย์นี่เราเพิ่มเตียงเสริมอีก ๒ เตียง เพราะไปกัน ๑๐ คน แต่ตอนหลังพบว่า ไม่ควรเพิ่มเลยเพราะในห้องมีโซฟาเบด ที่นอนสบายกว่าเตียงสปริงที่เอามาเสริมซะอีก ทุกคนคิดตรงกันว่า ถ้าคราวหน้ามาพักที่นี่ (ถ้าได้มา) ห้องหนึ่งนอน ๔ คนยังได้เลย เพราะนอกจากมีโซฟาเบดแล้ว เนื้อที่ห้องก็กว้างมากด้วย ประมาณว่าจ่ายแต่ค่าอาหารเช้าประมาณ ๒-๓ ร้อยต่อคนดีกว่า (แต่การมีเตียงเสริมเขาก็เพิ่มของใช้ สบู่ผ้าเช็ดตัว ให้ด้วย ถ้าไม่เอาเตียงเสริมก็อาจจะต้องเตรียมของพวกนี้ไปเอง) สรุปเรื่องที่พักที่สวนทิพย์ก็ต้องบอกว่า โอเคแล้วสำหรับการได้เป็นอันซีนพาราไดส์

--ดูรูปเชียงราย--